When Negative Thinkings Have Happened In My Brain...

วันนี้ตัวฉันเอง เริ่มมีความคิดที่แปลกประหลาด ไปจากหลายร้อยวันที่ผ่านมา...

รอยยิ้มของน้องๆ ของพ่อและแม่ ทำให้ฉันเริ่มหวั่นใจ ว่าการเดินทางในอีกไม่ถึงแปดวันข้างหน้า จะเกิดอะไร และเป็นอย่างไร...

ในช่วงแรก ช่วงที่ทราบผลสอบว่าฉันได้ผ่านการสอบ AFS และมีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ แม่ของฉันเชียร์ฉันมาโดยตลอด ถึงโอกาสที่ควรไคว้คว้าเอาไว้ ในขณะที่ตัวฉันไม่ได้คิดอะไรมากกว่าการได้เป็นเด็กแลกเปลี่ยน ได้ไปในที่ที่แตกต่าง ได้ร่วมสังคมที่ตนเองอยากสนใจ ซึ่งแน่นอนในภาษาเด็กๆอย่างฉันคิดได้เพียงแค่นี้

แต่แล้ววันนี้ ไม่รู้สมองของฉัน เกิดอะไรขึ้นมา ได้สร้างมโนภาพอันแสนโหดร้าย ซึ่งจริงๆมันไม่ใช่มโนภาพ แต่มันคือความจริงที่แสนเจ็บปวดจากก้นบึ้งของจิตใจ
เมื่อภาพ ที่ต้องแยกจากครอบครัวแสนสุข ถึงแม้จะไม่ได้มีเรื่องดีๆตลอดเวลา ถึงแม้จะมีช่วงเวลาที่ทะเลาะกันบ้าง แต่นั้นเองทำให้ฉันนึกถึงความอบอุ่นที่อาจขาดหายไป ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วันข้างหน้า

เมื่อภาพ ของเงินจำนวนน้อยนิดสำหรับหลายๆคน แต่สำหรับครอบครัวของเรามันคือเงินจำนวนมากที่พ่อแม่ของฉันต้องหามาให้สำหรับการร่วมโครงการ มันสามารถไปทำอย่างอื่นได้มากกว่านี้ พ่อของฉันที่อยากได้ทีวีใหม่ๆนั่งดูบอลที่อยากดู น้องที่อยากได้โทรศัพท์มือถือใหม่ที่ทำอะไรได้หลายๆอย่าง แม่ที่ต้องทำงานบ้านหนักแทนที่จะจ้างใครมาช่วยสักคน แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้น เพราะตัวของฉัน

และถ้าฉันยังอยู่ที่นี้ คงได้เป็นแบบอย่างที่ดีให้น้อง ในการอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนได้มากกว่าที่ให้เค้าทำอยู่คนเดียว คิดว่าหากยังอยู่ที่นี้อาจจะตั้งใจเรียน และสอบติดอะไรที่ดีๆ

เมื่อความคิดเหล่านี้แวบขึ้นมาในหัวแล้ว ตัวเองจึงย้อนถามว่า แล้วในวันนั้น ใครเป็นคนอยากไปกันนะ แล้ววันนั้นใครที่กล้าและพูดออกมาด้วยเสียงอันนักแน่นของเค้าเพื่อขอร่วมโครงการกัน

จนกระทั้งจบประโยคด้านบน ตัวฉันได้กลับไปอ่านอีกครั้ง เพี่อหาคำผิด และคิดว่ามันควรจะได้รับการเผยแพร่ลงในเว็บบล็อก หรือเป็นเพียงข้อความหนึ่งที่ฉันเก็บมันไว้อ่านเองในบล็อกแห่งนี้... เมื่ออ่านจบก็อดกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ ต้องหาทิชชู่มาช่วยทำให้ฉันสามารถกลับมาพิมพ์บทความนี้ได้อีกครั้ง

ฉันเคยบอกกับหลายๆคนว่า "การตั้งความหวังที่มากมายนั้น ก็จะสร้างความเจ็บปวดที่มากเท่าได้เช่นกัน" แต่น้องและแม่ของฉันมักเถียงกลับมาเสมอๆว่า "คนเราจะอยู่ไม่ได้เมื่อสิ้นหวัง" หรือ "การหวังจะสร้างแรงบรรดานใจสู่ความสำเร็จ" ฉันว่าสิ่งที่ทั้งสองคนนี้ เป็นคำพูดที่ถูกต้องมากกว่า

"คนเราหวัง ดีกว่าไม่เคยหวัง" น้องของฉันมักพูดออกมาทุกๆครั้ง หลังจากที่ตัวฉันอดพูดเย้ยน้องไม่ได้ ที่ตัวเค้ามักบอกว่าเค้าอยากเป็นแพทย์ช่วยเหลือผู้คนในสังคม ก็จะอะไรอีกอ่านหนังสือก็ไม่อ่าน ตั้งใจเรียนก็ไม่ได้ตั้งใจ แต่หากเราหวังอะไรที่มากไปแล้วผิดหวัง เศร้าใจที่ไม่สำเร็จ นั้นคงอาจจะเกิดจากตัวเราเอง จากความหวังของเราเอง

แต่เรื่องอดีตที่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว จะห่วงและเป็นกังวลกับมันไปทำไม เมื่อมัน "แก้ไข" ไม่ได้ ทำไมเราไม่มองไปข้างหน้า หา"ความหวัง"ใหม่ที่เรามี และพยายามมันให้มากกว่า ทำมันให้มากกว่าที่เคยทำให้ครั้งก่อนๆ โดยที่ยังมี"ความหวัง"อยู่ว่า "ความหวัง"ในครั้งนี้จะประสบความสำเร็จ

พูดเรื่องความหวังมานาน มันไม่ใช่อะไร คือฉันจะบอกตัวของฉันเองว่า ความหวังนั้นเป็นเรื่องที่ต้องทำ และอย่ามัวแต่คิดเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ หวังสิ! ว่าเราจะได้อะไรจากการเดินทางครั้งนี้ หวังสิ!ว่าหลังการเดินทางครั้งนี้อาจจะสร้างแรงผลักดัน อาจจะสร้างแรงขับเคลื่อนให้แก่ตัวฉันเอง และคนรอบๆข้าง

อ่านมานี้ผู้อ่านอาจจะไม่เข้าใจนัก เพราะคนเขียนก็ยังงงๆว่าทำไมถึงมันเกี่ยวข้องกันได้

เพราะว่าตัวฉันคิดได้แล้วว่า ทางเลือกที่เลือกไปแล้วทางนี้ ซึ่งมันจะคดเคี้ยว ซึ่งมันจะมีอุปสรรค์ขว้างกันตัวเราเองอยู่มากมาย ตราบใดที่เรายังมี"ความหวัง"เราจะไปถึงปลายทาง ปลายทางที่จะดีหรือไม่ เราคงต้องพอใจ และยอมรับมัน เพราะนั้นเป็นทางเดินที่ตัวเราเองได้เลือกมัน และไม่อาจเปลี่ยนใจได้... เพราะตอนนี้เรามาถึงครึ่งทางของเราซะแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมเราไม่เดินไปให้สุดทางเส้นนี้ และเผชิญกลับสิ่งที่เกิดขึ้น เผชิญกับปลายทางที่ไม่ทราบว่าจะดีหรือไม่ ด้วยความมั่นใจว่าปลายทางจะมีสายรุ้งที่สวยงามรอเราอยู่

บทความนี้อ่านแล้วอาจจะงงอยู่บ้าง แต่บอกตามตรงว่าคนเขียน สบายใจขึ้นมาก ที่เหมือนได้ระบายให้ใครฟัง ทั้งๆที่อาจจะไม่มีใครฟังอยู่เลย...
ขอเป็นบทความสุดท้าย ก่อนการเดินทาง ขอให้เพื่อนๆที่กำลังจะเดินทางได้บทความจากแกนสาระอันแสนน้อยนิดของเรื่องนี้ ได้กำลังใจจากบทความนี้บ้าง
เจอกันที่ไอซ์แลนด์ครับ...

ปล.การร้องไห้ช่วยได้จริงๆ เหมือนกับความกลัวความสูงที่เมื่อแหกปากแล้วหายไปชั่วพริบตา